การดูแลรอยแผลเป็นจากสิว
การดูแลรอยแผลเป็นจากสิว รอยสิว คือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว เมื่อเป็นสิวอักเสบหรือสิวอุดตัน ในบางครั้งหลังสิวนั้นหายไป จะทิ้งร่องรอยเอาไว้ ซึ่งรอยสิวเหล่านั้นเป็นผลมาจากกระบวนการฟื้นฟูสภาพผิวด้วยการสร้างสารคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ จึงปรากฏเป็นรอยสิวในรูปแบบต่าง ๆ บนผิวหนัง โดยการดูแลรักษาผิวหนังแต่เนิ่น ๆ หลังเกิดสิว อาจช่วยป้องกันการเกิดรอยสิวได้

รอยสิว เกิดจากอะไร ?
รอยสิว เกิดจากการเป็นสิว ซึ่งเป็นการอักเสบหรืออุดตันของรูขุมขนใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิวอักเสบที่มีระดับความรุนแรงปานกลางไปจนถึงรุนแรงมาก ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการทิ้งร่องรอยแผลเป็นจากสิวได้หลังจากที่สิวหายไป
ชนิดของสิวสามารถแบ่งตามระดับความรุนแรง ได้แก่
- รุนแรงน้อย สิวหัวขาว สิวหัวดำ
- รุนแรงปานกลาง สิวตุ่มแดง สิวหัวหนอง
- รุนแรงมาก สิวก้อนลึก สิวซีสต์
นอกจากนั้น การบีบหรือกดสิวก็สามารถเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยสิวได้เช่นกัน
ลักษณะของรอยสิว
รอยสิวที่เกิดขึ้นอาจมีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยรอยสิวมีลักษณะหลัก 2 รูปแบบ คือ
รอยสิวทั่วไป
ส่วนใหญ่จะปรากฏเป็นจุดสีแดงหรือสีน้ำตาล เป็นหลุมสิวตื้น ๆ และมักจะค่อย ๆ เลือนรางจางหายไปเมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน โดยอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา
รอยสิวหลุมลึก
ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษา หรือรับคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อการดูแลรักษารอยสิวประเภทนี้ เพราะร่องรอยที่เกิดขึ้นอาจเป็นความเสียหายในระดับชั้นผิวที่ลึกลงไป ซึ่งยากต่อการรักษาด้วยวิธีทั่วไป แพทย์อาจต้องพิจารณาใช้วิธีการหรือทำหัตถการตามขั้นตอนที่เหมาะสม โดยชนิดของรอยสิวหลุมลึก ดังนี้
Rolling Scars เป็นจุดหลุมบนผิวหนัง หรือเป็นหลุมสิวตื้น ๆ
Ice-pick Scars เป็นรอยสิวแบบจุดหลุมลึก
Atrophic Scars เป็นรอยหลุมยุบลงไป แต่รอยนั้นมีความแบนและบาง
Boxcar Scars เป็นรอยหลุมกว้างขนาดใหญ่ และมีขอบหลุมชัดเจน
Hypertrophic หรือ Keloid Scars เป็นรอยแผลเป็นนูนขึ้นมาบนผิวหนัง
รอยสิว รักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ?
รอยสิวชนิดหลุมลึกที่เกิดขึ้น ไม่อาจรักษาให้หมดไปอย่างสมบูรณ์ได้ แต่รอยสิวเหล่านั้นจะบางลงตามกาลเวลา ส่วนรอยสิวทั่วไปนั้นสามารถรักษาให้หายไปได้ หรือรอยสิวนั้นจะค่อย ๆ เลือนรางจนหายไปเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่มีรอยสิวสามารถบำรุงดูแลผิวบริเวณที่เป็นรอยสิว เพื่อบรรเทาความรุนแรงของรอยนั้น หรืออาจใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ปกปิดร่องรอย เช่น ครีมรองพื้นที่เข้ากับสีผิวบริเวณนั้น ช่วยปกปิดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวได้
การรักษาและลบเลือนรอยสิว
การรักษารอยสิว ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของรอยนั้นด้วย คุณสามารถดูแลรักษารอยแผลเป็นจากสิวให้ดีขึ้นได้ด้วยตนเอง ด้วยการใช้ยาหรือแนวทางปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร หรือในบางกรณี อาจต้องขอความช่วยเหลือจากแพทย์หรือแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะสามารถให้คำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
วิธีการรักษาและลบเลือนรอยสิว ได้แก่
ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของคอร์ติโซน (Cortisone)
การใช้ครีมคอร์ติโซนเหมาะสำหรับรอยสิวที่เป็นจุดสีแดง หรือเป็นรอยบวม โดยคอร์ติโซนจะช่วยลดภาวะอักเสบของผิวหนัง ทำให้สีแดงที่ผิวหนังจางไป และรอยสิวบริเวณนั้นยุบตัวลง แม้ครีมคอร์ติโซนสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่ผู้ป่วยควรปรึกษาเภสัชกรถึงวิธีและขั้นตอนการใช้งานก่อนเสมอ
ผลิตภัณฑ์ที่มีสารบำรุงผิว
สารที่อาจลองใช้เพื่อลบเลือนร่องรอยสิวที่เกิดขึ้น เช่น
วิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อร่างกาย ช่วยในการต้านอักเสบ ลดรอยดำจากสิว มีส่วนในสร้างคอลลาเจน ช่วยให้แผลหายเร็ว
อาร์บูติน (Arbutin) และกรดโคจิก (Kojic Acid) สารทั้งสองชนิดนี้มีสรรพคุณในการยับยั้งการผลิตเม็ดสี ช่วยลบเลือนรอยดำและรอยแผลเป็นจากสิว
เซราไมด์ (Ceramide) เป็นกรดไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายผลิตได้ตามธรรมชาติ ซึ่งมีหน้าที่เป็นเกราะปกป้องผิว รักษาความชุ่มชื้นของผิว และช่วยให้ผิวแข็งแรง แต่บางคนมีเซราไมด์ในผิวน้อย ทำให้ผิวอ่อนแอจนเสี่ยงต่อการเกิดสิว ในปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีเซราไมด์สังเคราะห์ เมื่อใช้เป็นประจำก็อาจช่วยให้ผิวแข็งแรงและอาจช่วยลดการเกิดสิว รวมถึงโอกาสเกิดรอยสิวตามมาหลังจากสิวหายไป นอกจากนี้ คุณสมบัติของเซราไมด์ยังช่วยลดอาการผิวแห้งและระคายเคืองที่เป็นผลจากการรักษาสิวได้
ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) รู้จักกันในชื่อของวิตามินบี 3 หรือไนอะซิน (Niacin) เป็นสารอีกชนิดที่แพทย์อาจใช้ในการรักษาและลดรอยสิว เนื่องจากมีสรรพคุณต้านการอักเสบ ลดรอยแดง และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาสิวและลดอาการผิวแห้งด้วย การใช้ไนอะซินาไมด์เพื่อรักษาและลดรอยสิวควรเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีความเข้มข้นของสารชนิดนี้ 4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่มีการศึกษาแล้วว่ามีประสิทธิภาพและเหมาะสมต่อการรักษาสิว
อย่างไรก็ตาม ผิวแต่ละคนอาจตอบสนองแตกต่างกัน เพื่อลดความเสี่ยงของอาการแพ้และป้องกันอาการรุนแรงขึ้น จึงควรทดสอบอาการแพ้หรือปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้
การฉีดฟิลเลอร์
ในผู้ป่วยบางราย แพทย์จะฉีดฟิลเลอร์ เข้าไปเติมบริเวณรอยสิวที่มีลักษณะเป็นรอยบุ๋มลงไป เพื่อทำให้รอยสิวที่เป็นร่องลึกนั้นตื้นขึ้น ให้ผิวดูเรียบเนียนกลมกลืนกับผิวบริเวณใกล้เคียง แต่ผู้ป่วยมักต้องเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ซ้ำทุก 4-6 เดือน เพราะสารฟิลเลอร์จะถูกผิวดูดซึมจนหมดไปตามกาลเวลา
การฉีดสเตียรอยด์
เป็นวิธีการรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว โดยเฉพาะชนิดแผลเป็นนูน แพทย์จะฉีดสารคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น ไตรแอมซิโนโลน อีซีโตไนด์ (Triamcinolone Acetonide) เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
การทำเลเซอร์
เลเซอร์ผิวหนัง เป็นวิธีการที่แพทย์จะใช้อุปกรณ์ยิงลำแสงเลเซอร์ไปบนผิวหนังบริเวณที่เป็นรอยสิว เพื่อกำจัดผิวหนังชั้นนอกที่เกิดความเสียหายหลังการเกิดสิวนั้นทิ้งไป และกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ในผิวชั้นกลาง เพื่อให้ผิวบริเวณนั้นดูเรียบเนียนสม่ำเสมอกัน และหลังทำเลเซอร์อาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าสภาพผิวจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่

การกรอผิว
วิธีการนี้ แพทย์จะใช้เครื่องมือกรอขัดผิวหนังส่วนที่เป็นรอยสิวออกไป เพื่อให้ผิวหนังชั้นที่ลึกลงไปได้ผลัดเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ PG SLOT แทนที่เซลล์ที่ถูกจำกัดไป รอยสิวจะหายไป ในขณะที่เซลล์ผิวหนังใหม่จะช่วยทำให้ผิวส่วนที่เป็นรอยสิวแต่เดิมเรียบเนียนสม่ำเสมอกับผิวบริเวณใกล้เคียงมากขึ้น แต่กว่าสภาพผิวจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์
การลงเข็ม
แพทย์จะใช้อุปกรณ์ซึ่งเป็นเข็มขนาดเล็กจิ้มลงไปบนผิวหนังบริเวณรอยสิวที่ต้องการทำการรักษาหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เกิดรูเล็ก ๆ บนผิวหนังจำนวนมาก เป็นการกระตุ้นการสร้างสารคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังชั้นที่อยู่ติดกับหนังกำพร้า ช่วยให้รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวลดลง และทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวกระชับดูเรียบเนียนขึ้น
การบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy)
แพทย์จะใช้เครื่องพ่นไนโตรเจนเหลวหรือคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอุณหภูมิต่ำไปยังจุดที่ต้องการรักษาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อทำให้เซลล์ผิวบริเวณรอยแผลเป็นตาย แล้วสร้างเซลล์ใหม่ที่ดีขึ้นมาแทนที่
แนะนำสล็อตเล่นง่าย>> PGSLOT
แนะนำบทความน่าอ่าน>> ท่องเที่ยว GAMEMING ดวง รีวิวสล็อต JOKER สถานที่เที่ยว MOTOR SHOW EPICWIN NEWS